เทอม 3 ขอต้อนรับสู่ภาคเรียนสยองเทอมใหม่กับภาพยนตร์ไทยสยองขวัญแห่งปี ที่จะปลุกตำนานเรื่องเล่าและพิธีกรรม “บนบาน บายศรี ขอขมา” ในรั้วมหาวิทยาลัยของไทยให้หลอนสะพรึงสุดขีด เรื่องเล่าอันโด่งดังของมหาวิทยาลัยชื่อดังทาง “ภาคเหนือ” ที่ถูกเรียกขานว่า “ขบวนแดง” ตามตำนานเล่าถึงลูกสาวผู้แสนงดงามของเจ้าเมืองที่ตกหลุมรักกับทาสหนุ่มแบกเสลี่ยงต่างชนชั้น เจ้าเมืองรู้เข้าจึงสั่งให้ยุติความสัมพันธ์และประหารตัดคอทาสหนุ่มนายนั้นรวมถึงทาสอื่นทั้งขบวน จนทำให้เจ้านางตรอมใจตายตามไป จากนั้นในทุกคืนเข้าพรรษา เจ้านางพร้อม “ขบวนแห่ไร้หัว” จะปรากฏตัวให้เห็น ทำให้นักศึกษาต่างขวัญผวากันมายาวนานหลายต่อหลายรุ่น
เทอม 3 (Haunted Universities 3)
เรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยทาง “ภาคอีสาน” เกี่ยวกับ “พี่เทค-น้องเทค” และ “การรับน้องใหม่” อันน่าขนลุก ตำนานเล่าถึงรุ่นน้องเฟรชชีผู้เดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมาสอบสัมภาษณ์ แต่ยังไม่มีที่พัก โชคดีบังเอิญเจอรุ่นพี่อาสาพาไปพักที่หอพักหนึ่ง แต่พอรุ่นน้องตื่นขึ้นมากลับพบว่าที่แห่งนี้กลายเป็นหอพักที่ถูกทิ้งร้างมานานโข แล้ว “รุ่นพี่ปริศนา” เมื่อคืนนี้คือใครกันแน่!
เรื่องเล่าจาก “ภาคกลาง” เกี่ยวกับ “ศาลล่องหน” ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งมักจะมีนักศึกษาได้พบเห็นศาลต่างที่ต่างรูปแบบกันเป็นประจำ ถ้าใครพบและรู้เรื่องศาลนี้แล้วก็จะไม่มีวันได้เห็นอีก เป็นที่น่าแปลกใจจนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่นักศึกษารุ่นเก่าและใหม่ว่าศาลนี้มีอยู่จริงหรือไม่
เมื่อก้อย (อิษยา ฮอสุวรรณ) กำลังนอยด์ที่ต้องมาเป็นคู่แข่งแย่งชิงทุนการศึกษาที่เหลือแค่เพียงทุนเดียวกับฮ่องเต้ (ชาติชาย ชินศรี) เพื่อนสนิทที่ก้อยแอบคิดเกินเพื่อน ฮ่องเต้จึงชวนก้อยไปไหว้ขอพร ศาลเจ้านาง อันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเล่าขานกันว่ายินดีประทานพรแห่งความสมหวังให้กับคู่รัก แต่หากไม่ใช่คู่รักกันจริงพรที่ขอนั้นจะต้องแลกด้วยความตาย ฮ่องเต้ผู้ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับทำไปเพียงเพื่อหวังให้ก้อยสบายใจเท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่าวิญญาณเจ้านางผู้มาพร้อมกับ ขบวนแห่ไร้หัว กำลังตั้งขบวนแห่งความอาฆาตแค้นคืบคลานเข้าหาทั้งคู่เพื่อหมายเอาชีวิตโดยไม่มีทางหนีพ้น เทอม 3
ชื่อเรื่อง เทอม 3 (Haunted Universities 3)
ประเภท สยองขวัญ
นำแสดงโดย จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล, อิษยา ออสุวรรณ, ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัคน์, ชาติชาย ชินศรี
กำกับโดย นนทวัฒน์ นำเบญจพล, อัศฏา ลิขิตบุญมา, สรวิชญ์ เมืองแก้ว, อรุณกร พิค
กำหนดฉาย 30 พฤษภาคม 2024
ความยาว 119 นาที
รีวิว “เทอมสาม” หนังผีไทยน่าดู สานต่อความหลอนสะพรึงในรั้วมหาวิทยาลัยไทย
ค่ายหนังไทยเบอร์ต้น ๆ ของวงการ อย่าง สหมงคลฟิล์มฯ ก็พยายามผลักดันและสรรหาสร้างแฟรนไชส์มาระดับทำเนียบหนังอยู่เรื่อย ๆ หลังจากที่การกลับมาได้ค่อนข้างสวยงามจากภาคที่แล้ว จึงสานต่อความหลอนอีกระลอกใน ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นการปลุกตำนานเรื่องเล่าและพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยของไทยที่นำมาสู่ความสะพรึงสุดขีด โดยหนังเรื่องนี้ก็ยังแบ่งการเล่าออกเป็น 3 พาร์ทอีกเช่นเคย ภาพยนตร์สยองขวัญ
ขบวนแห่
เรื่องเล่าอันโด่งดังของมหาวิทยาลัยชื่อดังทาง “ภาคเหนือ” ที่ถูกเรียกขานว่า “ขบวนแดง” ตามตำนานเล่าถึงลูกสาวผู้แสนงดงามของเจ้าเมืองที่ตกหลุมรักกับทาสหนุ่มแบกเสลี่ยงต่างชนชั้น เจ้าเมืองรู้เข้าจึงสั่งให้ยุติความสัมพันธ์และประหารตัดคอทาสหนุ่มนายนั้นรวมถึงทาสอื่นทั้งขบวน จนทำให้เจ้านางตรอมใจตายตามไป จากนั้นในทุกคืนเข้าพรรษา เจ้านางพร้อม “ขบวนแห่ไร้หัว” จะปรากฏตัวให้เห็น ทำให้นักศึกษาต่างขวัญผวากันมายาวนานหลายต่อหลายรุ่น
โดยในพาร์ทนี้ได้ 2 ผู้กำกับหน้าใหม่ นัท-สรวิชญ์-เมืองแก้ว กับ ตู้-อัศฎา ลิขิตบุญมา ที่ถือว่าเป็นหนังสร้างหนังที่เป็นลูกศิษย์ของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะมีฉากหลังเป็นภาคเหนือ แต่กลับเป็นพาร์ทที่สื่อสารด้วยสำเนียงอีสานเป็นส่วนใหญ่ การได้รับหน้าที่เป็นตัวเป็นเรื่องให้กับหนังเรื่องนี้ นับว่าเป็นความท้าทายไม่น้อยเช่นกัน เพราะโจทย์หลัก ๆ จะทำอย่างไรให้คนดูคล้อยตามและหลอนสะพรึงไปด้วย
แต่น่าเสียดาย เพราะในที่สุดแล้ว ขบวนแห่ ก็แทบจะหาจุดโดดเด่นของตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเบาโหวง ไม่มีเหตุและผล ไม่มีที่มาที่ไปให้ชวนเหลือเชื่อ ทำให้ออกมาเป็นเพียงหนังสั้นสยองขวัญธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่ง ที่ปฏิเศธไม่ได้เลยว่างานโปรดักชันของเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ กำลังพิจารณาอยู่ว่าถ้าหากหนังพาร์ทนี้ได้มีเวลาและพื้นที่ที่เยอะกว่านี้ องค์ประกอบบางจุดก็อาจจะเด่นชัดขึ้นก็เป็นไปได้
ขณะที่ ตาต้า ชาติชาย กับ อุ้ม อิษยา ก็มารับบทบาทของพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่พึงจะมี เพียงแต่บทของหนังที่อาจจะไม่ได้มีมิติและตื้นลึกหนาบางมากสักเท่าไหร่ ทำให้ตั้งแต่เริ่มจนจบของพาร์ทนี้ เราแทบจะไม่ได้ข้อมูลและอินเนอร์ใด ๆ ของความหลอน เป็นเพียงความเหวอของผีเจ้านางอาฆาตไร้ตรรกะเท่านั้นเอง
พี่เทค
เรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยทาง “ภาคอีสาน” เกี่ยวกับ “พี่เทค-น้องเทค” และ “การรับน้องใหม่” อันน่าขนลุก ตำนานเล่าถึงรุ่นน้องเฟรชชีผู้เดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมาสอบสัมภาษณ์ แต่ยังไม่มีที่พัก โชคดีบังเอิญเจอรุ่นพี่อาสาพาไปพักที่หอพักหนึ่ง แต่พอรุ่นน้องตื่นขึ้นมากลับพบว่าที่แห่งนี้กลายเป็นหอพักที่ถูกทิ้งร้างมานานโข แล้ว “รุ่นพี่ปริศนา” เมื่อคืนนี้คือใครกันแน่!
เพราะเห็นชื่อผู้กำกับ เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญจพล ก็แอบไว้วางใจในแง่งานสร้างและโปรดักชันเอาไว้ก่อนเลย ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเช่นนั้นจริง ๆ เทอม 3 ตอน พี่เทค คือหนังที่ค่อนข้างมีสไตล์เฉพาะตัวเอง ที่เลือกใช้ฟอร์แมต 4:3 มาใช้ในแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ และถือว่าเป็นกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของผู้กำกับ และ อัด อวัช หลังจากที่ทั้งคู่เคยไปได้สวยจากหนัง Doi Boy เมื่อปีก่อน
แต่ก็..อีกนั่นแหละ เรื่องแรกว่าชวนเหวอแล้ว มาเจอพาร์ทนี้ยิ่งเหวอเข้าไปอีก เพราะประเด็นของหนังแทบจะไม่ตอบโจทย์และสื่อสารกับคนดูได้เลย ถึงจะหยอดประเด็นสอดเสียดสังคมของวัฒนธรรมโซตัสในรั้วมหาวิทยาลัยเข้าไปกรุบกริบ แต่องค์ประกอบในเรื่องราวโดยรวมนั้น ถือว่าหนังยังทำได้ไม่ถึง มีเพียงงานโปรดักชันดีไซน์ ฉากและการเล่นกับแสง ที่หนังทำออกมาได้กลมกล่อม
อัด อวัช กับ จั๊มพ์ พิสิฐพล ก็ถือว่าเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามองในยุคนี้ แต่กลายเป็นว่าหนังนำพาพวกเขามาสวมบทบาทและเล่นคาแรกเตอร์อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้มีความพิถีพิถัน ซ้ำยังเลือกจะหยอดเซอร์วิสความวายเข้ามาหน่อย ๆ ด้วย ดังนั้นกลายเป็นว่าพอเดินมาถึงครึ่งทางของหนัง เทอม 3 เรากลับพบว่า…มันชวนเหวอเกินไปแล้วนะ
ศาลล่องหน
เรื่องเล่าจาก “ภาคกลาง” เกี่ยวกับ “ศาลล่องหน” ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งมักจะมีนักศึกษาได้พบเห็นศาลต่างที่ต่างรูปแบบกันเป็นประจำ ถ้าใครพบและรู้เรื่องศาลนี้แล้วก็จะไม่มีวันได้เห็นอีก เป็นที่น่าแปลกใจจนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่นักศึกษารุ่นเก่าและใหม่ว่าศาลนี้มีอยู่จริงหรือไม่
และนี่ก็คือพาร์ทที่มาช่วยเซฟหนังเอาไว้ได้แบบทุลักทุเลไม่น้อย ผลงานการสร้างของผู้กำกับหนุ่ม โจ้-อรุณกร พิค จาก ส้มป่อย ที่เขารู้ดีกว่าจะใส่จังหวะโบ๊ะบ๊ะอย่างไรให้บันเทิงได้ และต้องขอบคุณการแสดงที่เข้าขากันเป็นอย่างดีของ มาร์ช จุฑาวุฒิ กับ แพรวา ณิชาภัทร ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ปิดฉากลงได้ด้วยบรรยากาศพอจะมีความสนุกอยู่บ้าง
แต่กระนั้นแล้ว ตอน ศาลล่องหน ก็ยังติดปัญหาที่เรื่องราวของบทหนังเหมือนเคยนั่นแหละ แต่อาจจะเป็นปัญหาที่พอจะอะลุ่มอล่วยได้จาก 2 พาร์ทแรกหน่อย ตรงที่หนังยังมีสตอรีและที่มาที่ไป รวมทั้งเหตุและผลที่ชัดเจน แม้จะเป็นพล็อตสูตรสำเร็จทั่วไป แต่ก็มีปฏิกิริยาที่ใช้ได้กับคนดู คือถ้าไม่มีพาร์ทนี้เข้ามาตบท้ายแล้วละก็ เทอมนี้น่าจะหงอยเหงาไม่น้อยเลย
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว การกลับมาสานต่อความสำเร็จของเรื่องเล่าจากตำนานรั้วมหาวิทยาลัยทั่วไปในภาคนี้ ถือว่ายังค่อนข้างขรุขระไปสักหน่อย ถึงเราจะได้เห็นมุมมองและงานสร้างในสายตาของนักสร้างหนังรุ่นใหม่ที่ออกมาเจ๋งมาก ๆ ก็ตาม แต่หนังก็ยังค่อนข้างสอบตกในส่วนของการสร้างสะพรึงกลัวถึงคนดู อาจจะไม่ถึงขั้นผิดหวัง แต่ก็แอบคิดว่าหนังน่าจะหฤหรรษ์ได้มากกว่านี้สิ